เมนู

จันทน์ ก็จงนอนอยู่บนที่นอนแต่เพียงคน
เดียวเถิด.

จบ อัมพชาดกที่ 4

อรรถกถาอัมพชาดกที่ 4


พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชดวัน ทรงปรารภ
พระเถระผู้เฝ้ามะม่วงรูปหนึ่ง จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า
โย นีลิยํ มณฺฑยติ ดังนี้.
ได้ยินว่า พระเถระนั้นบวชเมื่อภายแก่ สร้างบรรณศาลาอยู่
ในสวนมะม่วงท้ายพระเชตวัน ดูแลรักษามะม่วง เคี้ยวกินมะม่วงสุก
ที่หล่นอยู่. ย่อมให้เฉพาะคนที่เกี่ยวข้องกับตน. เมื่อพระเถระนั้น
เข้าไปภิกขาจาร คนลักมะม่วง ทำผลมะม่วงให้หล่นแล้วกินและถือ
เอาไป. ขณะนั้น ธิดาของเศรษฐี 4 คน อาบน้ำในแม่น้ำอจิรวดี
แล้วเที่ยวไป จึงเข้าไปยังสวนมะม่วงนั้น. พระแก่มาเห็นธิดาเศรษฐี
เหล่านั้นจึงกล่าวว่า พวกเจ้ากินมะม่วงของเรา. ธิดาเศรษฐีเหล่านั้น
กล่าวว่า. ท่านผู้เจริญ พวกดิฉันเพิ่งมา ไม่ได้กินมะม่วงของท่าน.
พระแก่กล่าวว่า ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าจงสบถ. ธิดาเศรษฐีเหล่านั้น
รับคำว่าจะกระทำสบถ เจ้าข้า แล้วพากันกระทำสบถ. พระแก่ให้
ธิดาเศรษฐีเหล่านั้นทำสบถให้ได้อาย แล้วจึงปล่อยตัวไป. ภิกษุ
ทั้งหลายได้ฟังการกระทำนั้นของพระแก่รูปนั้น จึงสนทนากันใน
โรงธรรมสภาว่า อาวุโสทั้งหลาย ได้ยินว่าพระแก่รูปโน้น ให้ธิดา

เศรษฐีผู้เข้าไปยังสวนมะม่วงอันเป็นที่อยู่ของตนกระทำสบถ ทำให้ได้
อายแล้วปล่อยไป. พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย
บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากันเรื่องอะไร. เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูล
ให้ทรงทราบแล้ว จงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย มิใช่ชาตินี้เท่านั้น
แม้ชาติก่อน พระแก่นี้ได้เป็นผู้เฝ้ามะม่วง ยังธิดาเศรษฐีเหล่านี้ให้
ทำการสบถ ทำให้ได้อายแล้วปล่อยไป แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีต
มาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร-
พาราณสี พระโพธิสัตว์ทรงครองความเป็นท้าวสักกเทวราช. ใน
กาลนั้น ชฏิลโกงผู้หนึ่งเข้าไปอาศัยนครพาราณสี สร้างบรรณศาลา
ในสวนมะม่วง ณ ที่ใกล้ฝั่งแม่น้ำ รักษามะม่วงอยู่ กินผลมะม่วงสุก
ที่หล่น ให้เฉพาะแก่คนที่เกี่ยวข้องกัน เลี้ยงชีวิตด้วยมิจฉาชีพ
มีประการต่าง ๆ อยู่. ในกาลนั้น ท้าวสักกเทวราชทรงดำริว่า ใคร-
หนอบำรุงบิดามารดา ใครหนอประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้เจริญที่สุดใน
สกุล ใครให้ทานรักษาศีล กระทำอุโบสถกรรม ใครบวชแล้ว
ขวนขวายในสมณธรรมอยู่ ใครประพฤติอนาจาร จึงทรงตรวจดู
ชาวโลก ทรงเห็นชฏิลโกงผู้เฝ้ามะม่วงผู้นี้ไม่มีอาจาระ จึงทรงดำริว่า
ชฏิลโกงผู้นี้ละทิ้งสมณธรรมของตนมีบริกรรมกสิณเป็นต้น รักษา
สวนมะม่วงอยู่ เราจักทำเขาให้สังเวชสลดใจ จึงในเวลาที่ชฎิลโกงนั้น
เข้าไปภิกขาจารยังบ้านจึงบันดาลมะม่วงทั้งหลายให้ล้มลงด้วยอานุภาพ

ของพระองค์ ทรงทำให้เสมือนหนึ่งถูกพวกโจรปล้น. ในคราวนั้น
ธิดาเศรษฐี 4 คน จากนครพาราณสี เข้าไปยังสวนมะม่วงนั้น.
ชฎิลโกงเห็นธิดาเศรษฐีเหล่านั้นจึงอ้างเอาว่า พวกท่านบริโภคมะม่วง
ของเรา. ธิดาเศรษฐีเหล่านั้นกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ พวกฉันเพิ่งมา
เดี๋ยวนี้เอง พวกดิฉันไม่ได้กินมะม่วงของท่าน. ชฏิลโกงพูดว่า
ถ้าอย่างนั้น พวกท่านจงสบถ. ธิดาเศรษฐีเหล่านั้นถามว่า ก็พวก
ดิฉันสบถแล้วจักไปได้กระมัง ? ชฎิลโกงกล่าวว่า เออ สบถแล้ว
จักได้ไป. ธิดาเศรษฐีเหล่านั้นพากันรับคำว่า ดีแล้ว ท่านผู้เจริญ
เมื่อธิดาเศรษฐีคนใหญ่จะสบถ จึงกล่าวคาถาที่ 1 ว่า :-
หญิงใดลักมะม่วงของท่าน หญิงนั้น
จงตกอยู่ในอำนาจของชายผู้ย้อมผมให้ดำ
และผู้เดือดร้อนเพราะ ต้องถอนผมหงอก
ด้วยแหนบ.

คำที่เป็นคาถานั้นมีใจความว่า ชายใดแต่งให้ผมดำซึ่งเอาผลไม้
สีเขียวเป็นต้นมาประกอบทำ เพื่อต้องการจะทำผมหงอกให้มีสีดำ และ
ผู้ถอนผมหงอกซึ่งแซมอยู่กับผมดำ ชื่อว่าเดือดร้อน คือลำบากเพราะ
แหนบ หญิงผู้ลักมะม่วงของท่านจงตกอยู่ในอำนาจของชายแก่เห็น
ปานนั้น คือจงได้ผัวเห็นปานนั้น.
ดาบสกล่าวว่า เจ้าจงยืนอยู่ในส่วนข้างหนึ่ง แล้วให้ธิดาเศรษฐี

คนที่สองกระทำการสบถ. ธิดาเศรษฐีคนที่สองนั้น เมื่อจะสบถ
จึงกล่าวคาถาที่ 2 ว่า :-
หญิงใดลักมะม่วงของท่าน หญิงนั้น
ถึงจะมีอายุตั้ง 20 ปี 25 ปี หรือไม่ถึง
30 ปี โดยกำเนิด แม้เป็นผู้มีวัยแก่เช่น
นั้นก็อย่าได้ผัวเลย.

คำที่เป็นคาถานั้นมีใจความว่า ธรรมดานารีทั้งหลาย ย่อม
เป็นที่รักของพวกบุรุษ ในคราวมีอายุประมาณ 15 - 16 ปี แต่
หญิงผู้ลักมะม่วงของท่าน อย่าได้สามีในคราวเป็นสาวเห็นปานนั้น
พอถึงอายุ 20 ปี หรือ 25 ปี หรือชื่อว่าหย่อน 30 ปี เพราะ
หย่อนหนึ่งปี สองปีโดยชาติกำเนิด แม้จะเป็นผู้เช่นนั้น คือเป็น
ผู้มีวัยแก่แล้ว ก็อย่าได้สามี.
เมื่อธิดาเศรษฐีคนที่สองแม้นั้นบถแล้ว ยืนอยู่ ณ ส่วนข้าง
หนึ่ง ธิดาเศรษฐีคนที่สาม จึงกล่าวคาถาที่ 3 ว่า :-
หญิงใดลักมะม่วงของท่าน หญิงนั้น
ถึงจะกระเสือกกระสนเที่ยวหาผัว เดินทาง
ไกลแสนไกลลำพังผู้เดียว ถึงจะได้นัดแนะ
กันไว้แล้ว ขออย่าได้พบได้เห็นผัวเลย.

คำที่เป็นคาถานั้นมีใจความว่า หญิงใดลักมะม่วงของท่าน หญิง
นั้นเมื่อปรารถนาผัว ชื่อว่าเป็นผู้กระเสือกกระสน เพราะในไปใน

สำนักของผัวนั้น ลำพังผู้เดียว คือไม่มีเพื่อน เดินทางไกลแสนไกล
ประมาณ 1 คาวุต 2 คาวุต และแม้ครั้นไปถึงแล้วทำการนัดหมาย
กันว่า ท่านพึงมายังที่ชื่อโน้น ก็อย่าได้พบเห็นผัวนั้นเลย.
เมื่อธิดาเศรษฐีคนที่สามแม้นั้นสบถแล้วยืน ณ ส่วนข้างหนึ่ง
ธิดาเศรษฐีคนที่สี่ จึงกล่าวคาถาที่ 4 ว่า :-
หญิงใดลักมะม่วงของท่าน หญิงนั้น
ถึงจะมีที่อยู่สะอาด ตกแต่งร่างกาย ทัดทรง
ดอกไม้ลูบไล้ด้วยกระแจะจันทน์ ก็จงนอน
อยู่บนที่นอนแต่เพียงคนเดียวเถิด.

คาถานั้น มีเนื้อความง่ายทั้งนั้น.
ดาบสโกงกล่าวว่า ท่านทั้งหลายทำการสบถแข็งแรงมาก คน
เหล่าอื่นคงจักกินมะม่วงของเรา บัดนี้พวกท่านไปได้ แล้วส่งธิดา
เศรษฐีเหล่านั้นไป. ท้าวสักกะจึงทรงแสดงรูปารมณ์อันน่ากลัว ทำ
ดาบสโกงให้หนีไปจากที่นั้น.
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรง
ประชุมชาดกว่า ชฎิลโกงในครั้งนั้น ได้เป็นพระแก่เฝ้ามะม่วงรูปนี้
ธิดาเศรษฐี 4 คนในครั้งนั้น ได้เป็นธิดาเศรษฐีเหล่านี้แหละ ส่วน
ท้าวสักกเทวราชในครั้งนั้น ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาอัมพชาดกที่ 4

5. คชกุมภชาดก


ช้า ๆ จะได้พร้าสองเล่มงาม


[678] ดูก่อนเจ้าตัวโยก ไฟไหม้ป่าคราวใด
คราวนั้นเจ้าจะทำอย่างไร เจ้าเป็นสัตว์มีความ
บากบั่นอ่อนแออย่างนี้.
[679] โพรงไม้และระแหงแผ่นดินมีอยู่เป็นอัน
มากถ้าพวกข้าพเจ้าไปไม่ทันถึงโพรงไม้และ
ระแหงแผ่นดินเหล่านั้น พวกข้าพเจ้าก็ต้อง
ตาย.
[680] ในเวลาที่จะต้องทำช้า ๆ ผู้ใดรีบด่วนทำ
เสียเร็ว ในเวลาที่จะต้องรีบด่วนทำกลับทำ
ช้าไป ผู้นั้นย่อมตัดรอนประโยชน์ของตนเอง
เหมือนคนเหยียบใบตาลแห้งแหลกละเอียด
ไปฉะนั้น.
[681] ในเวลาที่จะต้องทำช้า ๆ ผู้ใดทำช้า และ
ในเวลาที่จะต้องรีบทำด่วนก็รีบด่วนทำเสีย
ประโยชน์ของผู้นั้นย่อมบริบูรณ์ เหมือน
ดวงจันทร์กำจัดมืดเต็มดวงอยู่ ฉะนั้น.

จบ คชกุมภาชาดกที่ 5